ข้อบังคับ
มูลนิธิ “สันติ – วลัย วหาวิศาล (วัดพญาภู จังหวัดน่าน)”
พ.ศ. ๒๕๕๔
-------------------------------
หมวดที่ ๑
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้งของมูลนิธิ
ข้อ ๑ มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิ “สันติ – วลัย วหาวิศาล (วัดพญาภู จังหวัดน่าน)”
ย่อว่า มสว. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า THE FOUNDATION OF SANTI – WALAI
WAHAWISAN ( PAYAPOO TEMPLE NAN PROVINCE)
ข้อ ๒ เครื่องหมายของมูลนิธิ เป็นรูปธรรมจักรอยู่ภายใต้เจดีย์วัดพญาภู มีรัศมี ในขอบธรรมจักร ข้างบนมีคำว่า มูลนิธิ ข้างล่างมีคำว่า สันติ - วลัย วหาวิศาล ป้ายด้านล่างธรรมจักร มีคำว่า วัดพญาภู จังหวัดน่าน ดังรูป
ข้อ ๓ สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ วัดพญาภู ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน
โทรศัพท์ ๐๕๔-๗๑๐๙๓๓, ๐๕๔-๗๑๐๓๔๓
หมวดที่ ๒
วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
ข้อ ๔ วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
๔.๑ เพื่อส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมของวัดพญาภู เผยแผ่ศีลธรรมและวัฒนธรรม
๔.๒ เพื่อให้การสงเคราะห์แก่พระภิกษุสามเณรที่มาศึกษาพระปริยัติธรรมสำนักศาสนศึกษาวัดพญาภู
๔.๓ เพื่อก่อสร้างและบูรณะเสนาสนะต่างๆ ของวัดพญาภู
๔.๔ เพื่อกิจการอื่นๆ ที่คณะกรรมการเห็นสมควรดำเนินการในการส่งเสริมความเจริญของวัดพญาภู และความเจริญของพระพุทธศาสนาทุกด้าน
๔.๕ เพื่อดำเนินการด้านสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ
๔.๖ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือทรัพย์สินอื่นแก่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองใด
หมวดที่ ๓
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ ๕ ทรัพย์สินของมูลนิธิทุนเริ่มแรก คือ เงินสดจำนวน ๑๑๘,๒๘๕.๘๐ บาท
(หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแปดพันสองร้อยแปดสิบห้าบาทแปดสิบสตางค์)
โดยมีผู้บริจาค ดังนี้
๑. นายสันติ-นางวลัย วหาวิศาล ๑๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท
๒. พระชยานันทมุนี ๑,๐๐๐.๐๐ บาท
๓. พ.ท. สุนทร พูลบุญ ๑๐๐.๐๐ บาท
๔. นายเสวียน บูรณกิจ ๑๐๐.๐๐ บาท
๕. นายสมบุญ ธนามี ๑๐๐.๐๐ บาท
๖. นายมนตรี กองศาสนะ ๑๐๐.๐๐ บาท
๗. พ.ท.แสง สมบุญ ๑๐๐.๐๐ บาท
๘. พ.อ. ประสิทธิ์ กิจพิพัฒน์ ๑๐๐.๐๐ บาท
๙. นายเสถียร มหายศนันท์ ๒๓๐.๘๐ บาท
๑๐. นายชุมพล กองศาสนะ พร้อมภริยาและบุตร ๑,๐๐๐.๐๐ บาท
๑๑. พ.ต.ท. สุขจิตต์-นางอุษา กิตติกุล ๑๐๐.๐๐ บาท
๑๒. นายสุชาติ-นางศรีสมร สามัคคี ๒๐๐.๐๐ บาท
๑๓. นางสุวรรณะ ธนามี พร้อมบุตรธิดา ๑,๘๖๒.๐๐ บาท
๑๔. เจ้าอธิการบุญยืน ๑๐๐.๐๐ บาท ๑๕. นายพิชัย-นางสมบูรณ์ วรประสิทธิ์ ๕,๐๐๐.๐๐ บาท
๑๖. พระจตุรพร สุธีโร (วัฒนพฤกษ์) ๘,๑๙๓.๐๐ บาท
เงินจำนวน ๑๑๘,๒๘๕.๘๐ บาท ได้นำถวายพระชยานันทมุนี เจ้าอาวาสวัดพญาภู เจ้าคณะจังหวัดน่าน ซึ่งได้นำฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาน่าน
ข้อ ๖ มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีดังต่อไปนี้
๖.๑ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆโดยมิได้
มีเงื่อนไขผูกพัน ให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
๖.๓ เงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
๖.๔ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
หมวดที่ ๔
คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๗ กรรมการมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
๗.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์
๗.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
๗.๓ ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
๗.๔ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ข้อ ๘ กรรมการมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
๘.๑ ถึงคราวออกตามวาระ
๘.๒ ตายหรือลาออก
๘.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับ ข้อ ๗
๘.๔ เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสียและคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก
หมวดที่ ๕
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๙ มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรรมการมูลนิธิมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๗ คน แต่ไม่เกิน ๑๕ คน
ประกอบด้วยประธาน กรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ กรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิกมูลนิธิและตำแหน่งอื่นตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ ๑๐ ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้ริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิ เป็นผู้เลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินงานของ
มูลนิธิขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิและคณะกรรมการมูลนิธิอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็น
สมควรตามข้อบังคับ ข้อ ๙
ข้อ ๑๑ วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ
และกรรมการมูลนิธิอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ ข้อ ๙
ข้อ ๑๒ กรรมการมูลนิธิ ดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๔ ปี
ข้อ ๑๓ กรรมการมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งตามวาระแรก อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ให้กรรมการมูลนิธิที่หมดวาระลงรักษาการกรรมการมูลนิธิไปพลางๆ ก่อน
จนกว่าจะได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการมูลนิธิใหม่
ข้อ ๑๔ ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง ให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่เลือกตั้งบุคคลอื่น
เป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่างลง กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับการเลือกตั้งแทน
ตำแหน่งที่ว่างให้อยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน
ข้อ ๑๕ การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
หมวดที่ ๖
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๖ คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ ของมูลนิธิและภายใต้ข้อ
บังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๑๖.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิและดำเนินงานตามนโยบายนั้น
๑๖.๒ ควบคุมการเงินและทรัพย์สินของมูลนิธิ
๑๖.๓ เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีงบดุล รายได้-รายจ่าย ต่อกระทรวงมหาดไทย
๑๖.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
๑๖.๕ กำหนดระเบียบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
๑๖.๖ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการมูลนิธิขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะกิจของมูลนิธิ
ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๖.๗ สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
๑๖.๘ สรรหาผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
๑๖.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๖.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำมูลนิธิ ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่
ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๗ ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑๗.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อบุคคลภายนอกและนิติกรรมใดๆ ของมูลนิธิ หรือการลงลายมือชื่อ
ในเอกสาร ข้อบังคับ และสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐาน ของมูลนิธิและในอรรถคดีนั้น เมื่อประธาน
กรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนหรือกรรมการมูลนิธิ ๒ คน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
๑๗.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๘ ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธาน ไม่สามารถปฏิบัติ
หน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ ๑๙ ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่ง
คราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ ๒๐ เลขานุการมูลนิธิ มีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำของมูลนิธิ ติดต่อ ประสานงานทั่วไป รักษา
ระเบียบข้อบังคับ ของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการ
ประชุมตลอดจน รายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ ๒๑ เหรัญญิกมูลนิธิ มีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชี และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ ๒๒ สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดโดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจ
หน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ ๒๓ คณะกรรมการมูลนิธิ มีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้
หมวดที่ ๗
อนุกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๒๔ คณะกรรมการมูลนิธิ อาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการมูลนิธิได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็น
อนุกรรมการมูลนิธิประจำหรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ไม่ได้แต่งตั้งประธานมูลนิธิอนุกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ หรืออนุกรรมการมูลนิธิ ในตำแหน่งอื่นไว้
ให้อนุกรรมการมูลนิธิแต่ละคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ ๒๕ อนุกรรมการมูลนิธิ อยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนอนุกรรมการมูลนิธิ
ประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียง
เท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่ง
ตั้งอีกได้
๒๕.๑ อนุกรรมการมูลนิธิ มีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
๒๕.๒ อนุกรรมการมูลนิธิ มีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวดที่ ๘
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๒๖ คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี ภายในเดือน มีนาคม ของปีถัดไป
และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
เพื่อรับทราบ และพิจารณาระเบียบวาระดังนี้
๒๖.๑ แถลงผลการดำเนินงานในรอบปี
๒๖.๒ พิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติงบดุลประจำปีทางบัญชีของมูลนิธิ
๒๖.๓ พิจารณาสรรหาผู้สอบบัญชี
๒๖.๔ ปรึกษากิจการอื่นๆ ของมูลนิธิ
ข้อ ๒๗ การประชุมวิสามัญอาจมีได้ ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทน ขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุม
วิสามัญได้
ข้อ ๒๘ กำหนดการประชุม และองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการมูลนิธิให้เป็นไปตามที่กรรมการมูลนิธิจะกำหนด
ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการประชุม ให้คณะอนุกรรมการมูลนิธิตกลงกันเอง และใน
ส่วนที่เกี่ยวกับองค์ประชุม ให้ใช้ข้อ ๒๗ บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๒๙ ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการมูลนิธิ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาดกิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๓๐ ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการมูลนิธิ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่
ประชุมมูลนิธิ มีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือ
ผู้สังเกตการณ์เพื่อชี้แจงหรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
หมวดที่ ๙
การเงินมูลนิธิ
ข้อ ๓๑ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือรองประธานกรรมการมูลนิธิ ในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้
ครั้งละ ไม่เกิน ๕,๐๐๐.๐๐ บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุญาตจาก
คณะกรรมการมูลนิธิ โดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลยพินิจของประธาน
กรรมการมูลนิธิหรือรองประธาน กรรมการมูลนิธิในกรณีที่ทำหน้าที่แทน ที่จะอนุมัติ ให้จ่ายได้ แล้วต้อง
รายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ ๓๒ เหรัญญิกมูลนิธิมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน ๕,๐๐๐.๐๐ บาท (ห้าพันบาทถ้วน)
ข้อ ๓๓ เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ให้นำฝากไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นใด หรือซื้อพันธบัตร
รัฐบาลซึ่งแล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ ๓๔ การสั่งจ่ายเงินในบัญชีมูลนิธิ จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการ
มูลนิธิกับเหรัญญิกมูลนิธิหรือเลขานุการมูลนิธิลงนามทุกครั้งจึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ ๓๕ ในการใช้จ่ายเงินของมูลนิธิ ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิและเงินที่ผู้บริจาคซึ่งมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ
ข้อ ๓๖ ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงินการบัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนด
อำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและการจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ ๓๗ ให้เหรัญญิกมูลนิธิจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิ (งบรายได้-รายจ่าย ประจำปี) และงบดุลที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วเพื่อเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญประจำปีของคณะกรรมการมูลนิธิโดยให้ยึดถือรอบระยะเวลาบัญชีของมูลนิธิตามปีปฏิทินสากล (๑ ม.ค.-๓๑ ธ.ค.ของทุกปี)
ข้อ ๓๘ ให้เหรัญญิกมูลนิธิรวบรวมเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
ข้อ ๓๙ ให้มีผู้สอบบัญชีมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคลที่มิใช่กรรมการมูลนิธิหรือเจ้า
หน้าที่อื่นจากมูลนิธิ โดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ หรือได้รับค่าตอบแทนตามแต่ที่ประชุมคณะกรรมการ มูลนิธิจะกำหนด
ข้อ ๔๐ ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ ตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิ และรับรองบัญชีงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการมูลนิธิ
จะต้อง รายงานต่อกระทรวงมหาดไทย ผู้สอบบัญชีมีสิทธิตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน
สอบถามกรรมการ มูลนิธิและเจ้าหน้าที่มูลนิธิในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการเงินการบัญชีและเอกสารดังกล่าวได้
หมวดที่ ๑๐
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับมูลนิธิ
ข้อ ๔๑ การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับมูลนิธิ จะกระทำได้โดยเฉพาะในที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุม ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการมูลนิธิทั้งหมด และมีมติให้แก้ไข
หรือเพิ่มเติมข้อบังคับมูลนิธิ ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓
ของจำนวนกรรมการมูลนิธิที่เข้าประชุม
หมวดที่ ๑๑
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ ๔๒ ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการมูลนิธิหรือโดยเหตุใดก็ตามทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่ เหลืออยู่ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่วัดพญาภู ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน ซึ่งวัดพญาภูจะต้องใช้
ส่งเสริม และพัฒนาวัดพญาภูทุกด้าน ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด(ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล)
ข้อ ๔๓ การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิก
ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
๔๓.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
๔๓.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิทั้งหมดมีมติให้ยกเลิกเป็นเอกฉันท์
๔๓.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
๔๓.๔ เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ
หมวดที่ ๑๒
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ ๔๔ การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิ โดยเสียงข้างมากของจำนวน กรรมการมูลนิธิที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ ๔๕ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้
ข้อ ๔๖ มูลนิธิจะต้องไม่กระทำการค้ากำไร และจะต้องไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากข้อบังคับที่กำหนดไว้
(ลงนาม) นายสถิตย์ ปิติรัตน์ ผู้จัดทำข้อบังคับ
(นายสถิตย์ ปิติรัตน์)
กรรมการและเลขานุการมูลนิธิ
รับรองตามนี้
พระศรีธีรพงศ์
(พระศรีธีรพงศ์)
ประธานกรรมการมูลนิธิ